" เอ็งอ้วนขึ้นนะ " อ้ายพูดพร้อมหยุดมองร่างของเอื่อยที่ปรากฎขึ้นตรงหน้า ไม่มีใครขยับตัว
" อ้ายผอมลงนะ " เอื่อยตอบ แต่เขาก้มมองดูรองเท้าตัวเอง
" มีเงินรึเปล่า "
" ไม่มี "
" มีความสุขรึเปล่า "
" มี " เอื่อยตอบพร้อมเงยหน้าขึ้นมอง อ้ายค่อยๆเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับยื่นหมูแดดเดียวมาตรงหน้า เอื่อยรับแล้วรีบกัดมันให้ขาดในทีเดียว แต่หมูเหนียวเกินไป เขาเคี้ยวมันไม่เข้า แต่ไม่อยากแสดงอาการใดๆออกมา เขารีบเคี้ยวมันแล้วกลืนลงคอ เอื่อยไอและมีอาการสำลัก เขาก้มลงไปนั้งยองๆแล้วไอเบาๆในลำคอ อ้ายเดินหายเข้าไปในรถสามล้อบ้านชั่วครู่ใหญ่ เอื่อยเดินไปใกล้ๆเพื่อสังเกตุรถสามล้อคันนั้น เขาเดินวนช้าๆ สักพัก ตัดสินใจตะโกนเรียก
" อ้าย ที่ฉันมาหาเพราะมีบางอย่างจะ...ให้ " เขาเกือบจะพูดออกมาว่า "คืน" แต่คำว่า "ให้" ฟังดูไม่เศร้าโศกเกินไป อ้ายที่อยู่ข้างในรถยังคงหาอะไรบางอย่าง
" และฉันจะมาบอกว่า ฉันคงกลับมาอยู่กับอ้ายไม่ได้แล้ว เพราะว่า...เพราะฉัน... " ถึงจุดนี้ อ้ายออกมาจากตัวรถบ้านแล้วยื่นสมุดเล่มนึงให้เอื่อย เขาที่เห็นเหตุการณ์รู้สึกแปลกใจจนทำอะไรไม่ถูก
" เอ็งจะมาคืนหมวกใช่ไหม เห็นมันตั้งแต่ไกลๆแล้ว แต่ข้าจะบอกว่า ตอนนี้หมวกมันเป็นของเอ็ง และข้าก็ไม่ต้องการมันคืน ถ้าจะกลับมาบอกเพื่อบอกลา ขอให้เอ็งรับสมุดนี้ไว้ แทนคำร่ำลา " อ้ายยื่นสมุดที่หน้าปกทำด้วยกระดาษแข็งสีน้ำตาลออกมา ตัวปกไม่มีอะไรเขียนอยู่นอกจากคราบสีดำที่บ่งบอกถึงการใช้งาน เอื่อยรับสมุดนั่นมาแล้วก้มหน้าลงไปมองที่เท้าตัวเองอีกครั้ง ตัวเขาสั่นแต่เขาพยายามตั้งสติ หยดน้ำตาดูเหมือนว่าจะแย่งกันออกมาจากทางเบ้าตา แต่เส้นเหลือดสีแดงจำนวนมากทำหน้าที่เหมือนกับตะข่ายที่กั้นพวกมันเอาไว้ เอื่อยอยากจะพูดบางอย่างแต่นึกคำพูดไม่ออก ได้แต่ยืนนิ่งราวกับรอบๆไม่มีใครหรืออะไรอยู่เลย ไม่มีแม้แต่อากาศ พอไม่มีอากาศ เสียงก็เดินทางไม่ได้ รอบตัวเขาจึงไม่มีเสียง พอไม่มีเสียง สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นเหมือนกับภาพยนตร์ที่กดเล่นแต่กดปิดเสียงเอาไว้ พอรู้ตัวอีกที เขานั้งลงไปบนฟุตบาท ในมือกำหมวกและสมุดไว้แน่น
" ในที่สุดก็หาจนเจอ " อ้ายพูดกึ่งหัวเราะ แล้วกลายมาเป็นหัวเราะเสียงดัง " วันนี้ข้าจะกลับเชียงใหม่ ว่าจะไปทำไร่ทำนาอยู่ที่นั่น ถ้าเอ็งว่างก็แวะมาเยี่ยมได้ตลอด " เขาพูดแล้วทำท่าเหมือนจะปั่นรถออกไป แต่หันมาสบตาเอื่อยอีกครั้งก่อนตั้งใจปั่นอย่างไม่เหลียวหลังกลับมา เอื่อยค่อยๆมองรถสามล้อบ้านปั่นหายไปตรงสี่แยก ทุกอย่างดูเหมือนจะเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไปสำหรับเขา เอื่อยนั้งอยู่ที่เดิม สักพัก เขาลุกขึ้นเดินอย่างหมดเรี่ยวแรงไปเรื่อยๆ เขาไม่รู้ว่าควรจะไปที่ใด รู้แค่ว่าต้องออกเดินไปจากตรงนี้ก่อนที่บางสิ่งจะเลือนหายไป เขาเดินไปเรื่อยๆจนเขามาหยุดอยู่หน้าตู้โทรศัพท์สาธารณะ เขาหยอดเหรียญแล้วกดเบอร์โทรหาอิษยา
" ฮัลโหล นี่ฉันเอง ขอโทษที่ออกมาโดยไม่บอก แต่…ขอให้เธอช่วยฟังฉันหน่อยได้ไหม ฉันมีอะไรจะบอก " อิษยาที่อยู่อีกปลายของโทรศัพท์ตั้งใจฟังที่เอื่อยพูด แต่พอมาถึงจุดนึง เธอกึ่งฟังกึ่งใจลอย เอื่อยพูดด้วยน้ำเสียงที่ไร้อารมณ์แต่มันเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น อยู่ดีๆ เอื่อยรำพันออกมาเป็นกลอน..
กลับมาเจอกัน เพื่อที่จะบอกลา
ราวกับดวงอาทิตย์ ตรงเส้นขอบฟ้า
ไม่มีใครรู้ ยามเธอหลับใหล
มีแต่คนจดจำ ยามเธอสว่างไสว
เอื่อยนั้งรถเมล์กลับมาทางเดิม ระหว่างที่ปล่อยให้ลมพัดปะทะหน้า เขานึกขึ้นได้เลยเปิดสมุดเพื่อดูด้านใน ข้างในนั้นมีบทความมากมายที่อ้ายใช้ดินสอเขียน แต่มันไม่ใช่แค่ตัวอักษร มันมีทั้งตัวเลข รูปภาพ สัญลักษณ์ ข้างในมีหน้าแรกเป็นสารบัญ หัวข้อตั้งแต่สูตรอาหาร สูตรน้ำยาเคมี เทคนิคการตัดไม้ การประดิษฐ์สิ่งของต่างๆ ไปจนถึง บทความเรียงเรื่องสังคม วัฒนธรรม ปรัชญา เกร็ดความรู้ ข้อคิดต่างๆ เอื่อยพลิกดูคร่าวๆจนไปถึงหน้าสุดท้าย มีข้อความเขียนเอาไว้
" สมุดเล่มนี้ดูเหมือนกำลังจะจบ แต่ข้อความทั้งหมดนี้เป็นแค่สัญลักษณ์แทนความรู้ เหมือนที่เงินทองเป็นสัญลักษณ์แทนความร่ำรวย ขอเจ้าอย่าสับสนสัญลักษณ์กับความเป็นจริง เมื่ออ่านจบโปรดจงมองออกไป ข้าไม่ได้อยู่ตรงนี้แต่ข้าไม่เคยไปไหน เมื่อเบื่อจงหาสมุดเล่มใหม่มาเขียนเพิ่มเติม ดัดแปลง แก้ไข บันทึกเรื่องราว ระบายความในใจ ความใคร่ ความเศร้า ความหวัง ความสนุก ให้สมุดเล่มที่เจ้าเขียนเอง เป็นเหมือนความรู้สึกนึกคิดที่จะเปิดอ่านหน้าไหนก่อนก็ไม่สำคัญ เนื้อหาไม่ได้เรียงลำดับจากหน้าหนึ่งไปสองสามสี่ แต่ข้ามไปข้ามมาเหมือนกับตัวเจ้า ที่ไม่ได้เริ่มต้นเพื่อที่จะจบลง แต่เริ่มเพื่อที่จะถอยหลัง เดินหน้า ซิ๊กแซ๊ก ถอยหลังอีก แล้วเดินหน้าใหม่ หรือไปยังไงก็ได้ไม่มีกฎเกณท์ตายตัว ชีวิตไม่ได้เริ่มขึ้นเพื่อที่จะจบลงเมื่อถึงจุดหมายที่ตามหา เจ้าไม่ได้เกิดมาเพื่อขึ้นบันไดไปสู่ความสำเร็จ จากอนุบาล ขึ้นไปประถม จากประถม ไปมัธยม ไปมหาวิทยาลัย ขึ้นไปทำงาน ขึ้นไปๆ เพราะหากเป็นเช่นนั้น เจ้าพลาดจุดประสงค์ที่แท้จริงของเสียงดนตรี เพราะเจ้าควรจะเป่าขลุ่ยเพื่อให้เกิดเสียงเพลง ไม่ใช่เพื่อให้บทเพลงนั้นจบลง "
เอื่อยปิดสมุดแล้วเงยหน้าขึ้นบิดคอไปมา ทันทีที่ลงจากรถเมล์ เขารีบวิ่งไปหาอิษยาที่ห้องพัก เธอที่มารออยู่แล้วหน้าประตู ได้ขนกระเป๋าสัมภาระออกมาเตรียมไว้ให้เอื่อย เธอจุมพิษเขาที่แก้มพร้อมกับกล่าวคำอวยพรให้เอื่อยเดินทางโดยสวัสดิภาพ เขายิ้มพร้อมกับให้คำมั่นสัญญา ว่าจะรีบกลับมาหาเธอโดยเร็ว และจะเขียนจดหมายหาเธอทุกอาทิตย์ อิษยาเดินไปส่งเอื่อยเพื่อขึ้นรถเมล์อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ปลายทางของเขาคือหัวลำโพง อ้ายบอกว่าจะไปเชียงใหม่วันนี้ วิธีเดียวที่อ้ายจะไปได้คือรถไฟฟรี ซึ่งจะมีเฉพาะช่วงบ่าย เขาตั้งใจจะไปดักหน้าอ้าย เพื่อรั้งเขาไว้? ไม่ใช่ แต่เพื่อที่จะขอตามไปด้วย เขาอยากออกเดินทางร่วมกับอ้ายอีกครั้ง เพื่อตามหาความฝัน? ไม่ใช่ เพื่ออะไรเอื่อยเองก็ไม่รู้แน่ชัด เวลาที่เขาอยู่กับอ้าย เขาไม่เคยกลัว เขาพึ่งเข้าใจมันเดี๊ยวนี้เอง เขาอาจจะเคยรู้สึกกังวลบ้าง แต่เขาไม่เคยรู้สึกกลัวเลยแม้แต่นิดเดียว อ้ายทำให้เขาเข้าใจ คนที่กลัวชีวิต คือคนที่กลัวตัวเอง และรถไฟฟรี ไม่มีอะไรน่ากลัว ถ้ามันไม่ตกราง
No comments:
Post a Comment