สอง



ยามเช้าใต้สะพานพระรามแปดเต็มไปด้วยกิจกรรม หลังจากตื่นนอน เอื่อยเดินออกมาแปรงฟันตรงก๊อกน้ำ เขาล้างหน้าและจัดผมให้เข้าที่  เขาเดินเข้าไปในเต็นท์เพื่อเปลี่ยนหยิบเอาชุดออกกำลังกายมาใส่ ซึ่งก็มีแค่กางเกงขาสั้นยางยืดกับรองเท้าผ้าใบ เพื่อเป็นการวอร์มอัพ เอื่อยซอยเท้าลงบันไดมาด้วยความเร็ว เขาวิ่งเยาะๆเข้าไปในสวนสาธารณะที่อยู่ด้านล่าง ก่อนที่จะไปโรงเรียน เอื่อยต้องวิ่งรอบสนามอย่างน้อยหนึ่งรอบ ในบริเวณนั้นมีผู้คนประปราย ทุกครั้งที่เขาเห็นครอบครัวที่มีทั้งพ่อแม่ลูกมาออกกำลังกาย โดยเฉพาะครอบครัวที่มีลูกเป็นเด็กผู้ชายอายุพอๆกัน เขาแอบนึกถึงครอบครัวที่เขาไม่เคยรู้จัก แต่เขาจะรู้สึกน้อยใจได้ไม่นาน ทุกครั้งที่เขารู้สึกน้อยใจ เขาจะเพิ่มความเร็วในการวิ่ง ให้เสียงของหัวใจที่เต้นแรงเป็นตัวทำให้เขากลับมาอยู่กับปัจจุบัน เขามีอ้ายที่เป็นทั้งเพื่อน พี่และพ่อ เขาไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวได้นาน 
นานๆทีอ้ายจะลงมาร่วมวิ่งออกกำลังกาย แต่ส่วนใหญ่อ้ายจะออกไปทำธุระส่วนตัวที่ไหนซักแห่งที่เขาไม่เคยบอกให้รู้ แล้วจะกลับมาพร้อมกับอาหารเช้าที่จะต้องเอาไปกินที่โรงเรียนทุกวัน ส่วนใหญ่จะเป็นกล้วยและก็นมสด นานๆทีอ้ายจะมีซาลาเปากับน้ำเต้าหู้ พอออกกำลังกายเสร็จ เขาจะไปอาบน้ำตรงก๊อกน้ำนั่นอีกครั้ง แล้วแต่งตัวไปโรงเรียน 
ทางที่เขาเดินไปวัดสังเวชเป็นระยะทางประมาณ5กิโลเมตร แต่เอื่อยจะใช้เวลาเดินนานกว่าปกติ เพราะเขาไม่ชอบที่จะเดินจากจุด . ไปยัง จุด . แต่จะเดินไปเรื่อยๆตามแต่ความรู้สึกจะพาไป ถ้าเขาเจออะไรข้างทางที่สะดุดตา เขาจะแวะเข้าไปชม หรือเจอใครที่เขารู้จัก เขาจะแวะเข้าไปคุย ช่วงหลังๆมานี้นอกจากคุณป้าขายหมูปิ้ง(ที่เขาไม่เคยรู้ชื่อ)กับอาพงษ์คนขับรถตุ๊กตุ๊กแล้ว เขายังได้มีโอกาสไปรู้จักกับนักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศสสองคน แฟรงค์และอามิลล์ ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังง่วนอยู่กับการผูกเชือกรองเท้า เอื่อยเดินเข้าไปทักทายและสอนเทคนิคการผูกแบบใหม่ให้พวกเขา ซึ่งทำให้ทั้งสองคนหัวเราะชอบใจ ในช่วงหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา ทุกเช้าที่เขาเจอแฟรงค์และอามิลล์กำลังยืนรอรถเมล์อยู่ที่ป้าย เขาจะเดินเขาไปโชว์เทคนิคการผูกที่เขาพึ่งเรียนมาจากอ้าย ผูกแบบซ่อนปม ผูกแบบไขว้ แบบกากบาท หรือว่าแบบตาราง ซึ่งต้องใช้เชือกที่มีสีคนละสีผูกทับกันเหมือนการสานตะกร้า ทุกครั้งที่เอื่อยโชว์รองเท้าที่เข้าผูกเชือกได้สำเร็จ พวกเขาสองคนจะสอนภาษาฝรั่งเศสง่ายๆให้เอื่อยเป็นการแลกเปลี่ยน  Je ne comprends rien  " ฉันไม่เข้าใจอะไรเลย

" Au revoir! " เอื่อยบอกลาเป็นภาษาที่อ้ายไม่เข้าใจ แล้วเดินไปหยิบร่มคันสีเขียวที่แขวนอยู่บนราว
" ร่มนี่มันใหญ่เกินไปสำหรับแก ถ้าเกิดตอนเย็นฝนตก ข้าจะไปรับเอง " อ้ายพูดพร้อมกับสวมหมวกแก็ปให้เอื่อย " แค่สวมหมวกไปน่าจะพอ "
" มันเขียนว่าอะไร อ้าย
" ไม่ได้เขียนอะไร เป็นแค่สัญลักษณ์ตัว A "
" มันแปลว่าอะไร "
" มันไม่มีความหมาย "
" อื้อ เจอกันตอนเย็น " เอื่อยบอกลาแล้วเริ่มออกเดิน

ท่ามกลางความโกลาหนและแดดจ้า เอื่อยรู้สึกคิดถึงบ้าน เขาไม่เคยมีอาการคิดถึงบ้านแบบนี้มาก่อนเลยในตลอดเวลาสองปี เขาเคยได้ยินถึงโรคโฮมซิกที่คนจะเป็นเวลาห่างจากบ้านมาไกลๆเป็นเวลานานๆ แต่นี่เขาพึ่งเดินออกมาได้ไม่ถึงสิบนาที แต่มันมีความรู้สึกบางอย่างบอกกับเขาว่าเขาไม่สามารถกลับไปที่นั่นได้อีก ไม่ใช่ว่าเต็นท์ของอ้ายจะอันตรธานหายไป แต่บางอย่างจะเปลี่ยนไปและไม่มีวันหวนกลับมา ซึ่งเอื่อยไม่รู้ว่ามันคืออะไร อยู่ดีๆเขาร้องไห้ เขาหยุดเดินแล้วก้มหน้าลงไปร้องไห้
ตอนเย็นมีฝนตกหนัก หลังจากเก็บของทุกอย่างเข้าที่ อ้ายกางร่มเดินออกไปตามทาง ด้วยการคำนวณล่วงหน้ามาอย่างดี เขาใส่รองเท้าบูทยางสีน้ำเงินที่เขาได้มาจากพ่อค้าขายปลาในตลาด และได้เตรียมคู่เหมือนกันขนาดเล็กมาเพื่อให้เอื่อยใส่ตอนขากลับ ฟ้าผ่าลงมาเป็นระยะๆราวกับว่ากำลังอยู่ในอารมณ์โมโห แต่อ้ายไม่กลัว เขาเดินฝ่าออกไปตามทางด้วยความรู้สึกใจเย็น เขาค่อยๆก้าวเท้าแต่ละก้าวอย่างมั่นคง เวลาเป็นสิ่งเดียวที่เขามีและคนอื่นไม่มี ทันทีที่ไปถึง อ้ายเดินไปหลบฝนตรงใต้อาคารแล้วนั้งรอให้ถึงเวลาเลิกเรียน 
แต่เอื่อยไม่เคยออกมา เขารอจนเด็กทุกคนในโรงเรียนออกจนหมด จนคุณครูทุกคนกลับ จนภารโรงเดินมาล๊อคประตู เขานั้งรออย่างใจเย็นจนกระทั้งฝนหยุดตก แต่เพราะว่าท้องฟ้าไม่มีแสงแดดเหลืออยู่แล้ว อ้ายตัดสินใจเดินกลับไปทางเดิม แล้วเก็บรองเท้าบูทยางขนาดเล็กเข้ากระเป๋าสะพาย

No comments:

Post a Comment