หนึ่ง


" ทุกอย่างจะเริ่มต้นได้อย่างไร ถ้าเกิดไม่มีใครอยู่ตรงนั้น มันต้องมีสักคนที่บังเอิญเดินผ่านมา และไม่ใช่แค่ใครก็ได้ มันต้องเป็นคนที่เราถูกชะตาและถูกโฉลก แค่อย่างใดอย่างนึงไม่พอ ต้องรู้สึกทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน วิธีที่จะดูว่าเขาถูกชะตานั้นง่ายมาก เราแค่ต้องจ้องตาเขา แต่ในกรณีของตอนกลางคืนที่มีแค่ไฟสลัว เรามองแววตาและสังเกตุท่าทาง คนที่ไม่ใช่ แววตาจะไม่มีประกาย แต่วิธีที่จะดูว่าเขาถูกโฉลกนั้นยากขึ้นไปอีก เพราะโฉลกเป็นเรื่องของความเหมาะสม เราดูองค์ประกอบของเครื่องแต่งกาย สิ่งของที่เขานำติดตัวมาด้วย เช่นกระเป๋า หมวก และในกรณีนี้ จักรยาน จากที่ดู มันเป็นจักรยานฟิ๊กเกียร์ ข้าไม่รู้ว่ารุ่นไหน แต่ดูจากสีและลักษณะ มันน่าจะแพง "
" ท่าทางเขาจะเป็นคนรวย อ้าย "
" อื้ม ลองดู อย่าตื่นเต้น "

ทันทีที่ได้เวลาเหมาะสม ชายร่างผอมส่งสัญญาณมือ เด็กผู้ชายในชุดเสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้นสีแดงเดินออกไปพร้อมกับกระบอกฉีดน้ำ ผมบนหัวของเขาถูกใส่เจลให้ตั้งชี้ขึ้นมาเป็นแนวแทยง เด็กคนนั้นยิ้มพร้อมกับหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้านหลัง
" พี่ชายครับ พี่ชายสังเกตุเห็นอะไรที่ผมสังเกตุเห็นรึเปล่าครับ มันเป็นคราบสกปรกที่ติดอยู่บนรถจักรยานคันหรูของพี่ อนุญาติให้ผมทำหน้าที่นะครับ " โดยไม่รีรอให้ชายคนนั้นตอบ เด็กผู้ชายนั้งคุกเข่าลงไปกับพื้น เขาฉีดน้ำยาในกระบอกลงบนผ้าเช็ดหน้าแล้วเช็ดลงบนตัวจักรยาน ภายในไม่กี่วินาที บริเวณที่โดนถูเกิดความเงาวาวขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เด็กคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้ม แล้วล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบเอาก้อนอลูมิเนียมฟอลย์ออกมา เขาได้ขยำมันล่วงหน้าไว้แล้วให้เป็นก้อนกลมๆ เขาบรรจงขัดมันลงไปตรงคราบสนิมที่อยู่บนตัวรถ ภายในไม่กี่วินาที รอยสนิมหลุดออก
" อลูมิเนียมฟอลย์จะขัดแต่สนิมออกและไม่ทำให้เป็นรอยครับ " เด็กคนนั้นลุกขึ้นยืนแล้วยื่นนามบัตรให้ชายคนนั้น ที่ดูเหมือนว่ายังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  " ถ้าพี่ชายสนใจจะใช้บริการ ผมคิดแค่ครั้งละ50บาทเท่านั้น หรือว่าพี่ชายสนจะซื้อน้ำยาไปใช้เอง ผมขายในราคาแค่50บาทเหมือนกัน ไม่มีสารพิษนะครับ ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม "

ทั้งสองคนเดินไปตามทางเท้าที่ครั้งนึงเคยเต็มไปด้วยผู้คน ร้านค้าแบบแผงลอยตอนนี้เหลือแค่ท่อเหล็กกับผ้าคลุม เศษขยะต่างๆกระจัดกระจายอยู่ตามพื้นถนน ขวดเบียร์ ก้นบุหรี่ ถุงพลาสติก เศษน้ำแข็งที่ยังละลายไม่หมด พวกเขาดูเหมือนกำลังเดินอยู่ในงานปาร์ตี้ไฮโซที่พึ่งจบลงได้ไม่นาน แขกทุกคนที่มาได้กลับบ้านไปหมดแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงร่องรอยของเหตุการณ์กับความวังเวง มีแต่เสียงร้องของแมวดังเบาๆมาจากที่ไหนซักแห่ง อาจจะเป็นตรงมุมตึกหรือแถวตู้โทรศัพท์สาธารณะ ที่ไม่มีใครเคยใช้บริการมาตลอดเวลาสิบปี อยู่ดีๆอ้ายอยากจะแต่งกลอน แต่เขาหิวเกินกว่าจะคิดคำพูดอะไรออกมา เอื่อยในอารมณ์ตรงกันข้าม ฮัมเพลงเบาๆคนเดียวในลำคอ มันเป็นทำนองของเพลงคลาสสิกคอลที่อ้ายชอบเปิดให้เขาฟัง อ้ายเคยสัญญาว่าจะพาไปเรียนดนตรีเมื่อเขาโตพอที่จะร้องเพลง แต่อ้ายก็เปลี่ยนใจ ทุกอย่างสามารถเป็นดนตรี อ้ายบอกเขาตอนหลัง ทุกอย่างมีจังหวะและทำนองของมัน
" เอ็งรู้ไหมทำไมคนร้องเพลง " อ้ายหันไปถาม เอื่อยส่ายหน้า
" เพื่ออิสระภาพ เพราะงั้นกรรมกรหรือยามถึงได้ชอบเปิดวิทยุเวลาทำงาน "
" ไม่ใช่เขาเบื่อเหรอ " เอื่อยสงสัย
" เพราะมันน่าเบื่อไง เขาถึงร้องเพลง ถ้าเขายังร้องเพลงได้ แสดงว่าเขายังเป็นอิสระ "
" เอ็งรู้ไหมทำไมคนเต้น " อ้ายหันไปถามต่อ เอื่อยส่ายหน้าอีกครั้ง
" มันไม่มีเหตุผลอะไรเลย คนเต้นเพราะเขาสนุก เพราะฉะนั้นคนที่ทำงานบันเทิงถึงได้จ้นจน "
" แต่ฉันว่านักร้องรวยนะ อ้าย "
" เมื่อก่อนมันไม่ใช่แบบนี้ เหมือนกับหมอ เมื่อก่อนหมอจ้นจน เพราะว่าการรักษามันเป็นเรื่องของน้ำใจ แต่เดี๋ยวนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นเอ็งฟังนะ ถ้าจะอยู่ให้รอด เอ็งต้องทำตามที่ข้าบอก "
" ฉันก็ทำตามแล้ว น้ำยาของอ้ายอะ ขายไม่ได้มาหลายวันแล้วนะ และก็ไม่ค่อยมีคนใช้บริการเราเลย ฉันทำตามที่อ้ายบอกทุกอย่าง "

เอื่อยเหนื่อยเกินกว่าที่เขาจะคิดต่อ ย้อนกลับไปเมื่อสองปีก่อน ตอนที่เขาเจอกับอ้ายครั้งแรก และมันเป็นสองปีที่เขามีในความทรงจำ เอื่อยจำอะไรไม่ได้เลยก่อนหน้านั้น เขาจำได้แค่ว่าเขาตื่นขึ้นมาในสภาพอ่อนแรงและมีอาการเจ็บที่หัว อ้ายเป็นคนแรกที่มาพบเขานอนหมดสติอยู่ และตั้งชื่อให้เขาใหม่ว่า "เอื่อย" และในทางกลับกัน ให้เอื่อยเรียกเขาว่า "อ้าย" ซึ่งหมายถึงพี่ในภาษาเหนือ เอื่อยไม่เคยถามถึงเหตุผลและมันก็ไม่จำเป็น ในตอนนั้น มันไม่มีประโยชน์อะไร
เอื่อยยังจำภาพแรกที่เห็นชายคนนี้ได้ ชายคนนี้เหมือนกับทุกอย่างที่เขาจินตนาการได้เกี่ยวกับคนจรจัด เขามีผมที่ยาวรกรุงรังและอยู่ในรูปทรงที่อธิบายไม่ได้ด้วยเลขาคณิต อ้ายเหมือนกับคนที่พึ่งใส่เจลมาใหม่ๆ เดินออกไปชายทะเลเพื่อให้ลมเป่าอย่างแรง และเข้าไปอยู่ในห้องแช่แข็งโดยทันที ใบหน้าของเขามีสีแดงปนดำ บนใบหน้ามีหนวดและเคราอยู่ประปราย แต่มันมีอยู่น้อยจนถ้าไม่สังเกตุดีๆก็จะมองไม่เห็น แต่สิ่งที่ทำให้เอื่อยแปลกใจกลับเป็นแววตาและท่าทางของชายคนนี้  อ้ายมีแววตาที่จริงใจและมุ่งมั่น ต่างจากขอทานหรือคนจรจัดทั่วๆไป เขาจะแต่งกายเปลี่ยนไปแต่ละวันตามแต่สภาพอากาศและสภาพแวดล้อม ถ้าอากาศร้อนมากเขาจะถอดเสื้อ ซึ่งเผยให้เห็นกล้ามท้องและหนังที่ตึงแน่นติดกระดูก ถ้าฝนตกเขาจะใส่เสื้อกันฝนสีฟ้าอ่อน มันดูเหมือนกับของแบรนเนมแต่อ้ายบอกว่าเขาทำมันขึ้นมาเอง จากเศษผ้าใบที่เขาเจอและเชือกกับด้ายที่เขามี 
ทุกๆวันและทุกๆแห่งเขาต้องสะพายกระเป๋า ซึ่งถูกออกแบบมาให้สะพายแบบหันข้าง เป็นผ้าที่ทำขึ้นจากกระเป๋าทหารรวมกับผ้าหลายๆอย่าง ที่ส่วนตัวของกระเป๋ามีการทำที่กันน้ำและช่องใส่อุปกรณ์ต่างๆในการดำรงชีวิต แปรงสีฟัน ไฟฉาย ดินสอ กาว สายวัดรอบเอว ปรอท กรรไกร มีดพก เชือก เข็ม ด้าย ฯลฯ ที่ช่องใส่อุปกรณ์รอบนอกมีขวดน้ำต่างๆมากมาย เท่าที่เอื่อยเคยเห็น มันมีแอลกอฮอล์ น้ำสมสายชู นมสด และขวดอะไรหลายอย่างที่เขาไม่รู้จัก อ้ายบอกว่าเขาสามารถทำโฟมขึ้นมาใช้เองได้ถ้าจำเป็น เพียงแค่ผสมไอโซไซเนทเข้ากับไฮโดรซิลแอลกอฮอล์ อ้ายดูเหมือนคนที่มีความรู้ในรอบด้าน แม้แต่การพูดการจาของเขาทำให้เอื่อยต้องคิดตามตลอดเวลา อ้ายเรียกตัวเองว่า "นักประดิษฐ์แห่งบางลำพู" บางครั้งเอื่อยคิดว่าอ้ายบ้า แต่พอเขาได้ไปเห็นคนหลายๆประเภทมาตลอดเวลาสองปี เอื่อยชักไม่แน่ใจ ทุกคนดูเหมือนจะบ้าในแบบของตัวเอง

" กินไรดี
" ตามใจเลย วันนี้เลี้ยง "
" จริงอะ ฉันอยากกินจิ้มจุ่ม " เอื่ยยชี้ไปที่ร้านจิ้มจุ่มที่อยู่ตรงหัวมุมถนน อ้ายหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาเปิดดู เขาขอเวลาเอื่อยหนึ่งนาที อ้ายหายเข้าไปในซอกตึกเพื่อทำอะไรบางอย่าง แล้วกลับออกมาพร้อมกับผมที่ถูกจัดให้เป็นทรง เขาเอาเสื้อยืดที่เตรียมมาด้วยออกมาใส่ เช็ดปากด้วยผ้าเช็ดหน้า แล้วชวนเอื่อยเดินไปยังร้านที่อยู่ข้างทาง ทั้งสองคนนั้งลงแล้วสั่งจิ้มจุ่มมาหนึ่งหม้อกับข้าวเหนียวหนึ่งถุง อ้ายนั้งมองเอื่อยกินอย่างเอร็ดอร่อย เป็นระยะๆเขาหยิบน้ำเปล่าขึ้นมาดื่ม
" อ้าย มันจะดีไหมถ้าฉันเรียนจบไวๆ "
" ดี "
" แต่ฉันไม่รู้จะไปทำงานอะไร ฉันไม่มีความฝัน "
" เดี๊ยวก็มี ใจเย็นๆ
" อื้อ " เอื่อยหยิบข้าวเหนียวขึ้นมาปั้นเป็นลูกกลมๆ แล้วกลิ้งไปมาบนโต๊ะ
" ข้าจะบอกอะไรให้ ถ้าเอ็งไม่มีความฝัน... " 
อ้ายก้มลงไปหยิบขวดนมกับน้ำส้มสายชูออกมาจากกระเป๋า เขาเทนมใส่ลงไปในหม้อจิ้มจุ่มซึ่งเหลือแค่น้ำขลุกขลิกก้นหม้อ รอซักพักให้ไฟทำให้นมร้อน แล้วเทน้ำส้มสายชูลงไปสามช้อน อ้ายใช้ช้อนคนในหม้อด้วยความเร็วแล้วปล่อยทิ้งไว้ซักพัก เขาเอาที่ตักช้อนเอาตะกอนที่เริ่มจับตัวกันในหม้อออกมา มันมีสีขาวและลักษณะเหมือนกับกาว อ้ายเอามันมาปั้นในมือให้เป็นลูกกลมๆขนาดเท่ากันกับก้อนข้าวเหนียวที่เอื่อยกำลังถืออยู่ในมือ ซักพักพอก้อนนั้นแข็งตัวจนกลายเป็นเหมือนกับซีส เขายื่นมันไปให้เอื่อย 
" …เอ็งต้องเอาความจริงที่มีอยู่ มาผสมกัน " เอื่อยจับก้อนนั่นแล้วลองบีบเบาๆ แต่มันแข็งราวกับพลาสติก

No comments:

Post a Comment